วิทยานิพนธ์
เรื่อง
รูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา
โดย
นางสุรีย์ แก้วเศษ
เสนอ
ปริญญาศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิต (พลศึกษา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2553
1. ชื่อเรื่อง / ผู้วิจัย / ปีที่วิจัย
รูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา
นางสุรีย์ แก้วเศษ ปี 2553
บทที่ 1 ความสำคัญของปัญหา
การประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ก่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการวัดและประเมินผู้เรียน ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข โดยยึดหลักผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญสุด ซึ่งกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2547 : 12 -15) สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้มีมาตรฐานสูงในระดับสากล ภายใน พ.ศ.2550 ซึ่งครูต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจ เปลี่ยนแปลงความเชื่อ แนวคิด และวิธีการปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เป็นจริงในยุคโลกาภิวัตน์ โดยระบุแนวทางในการดำเนินงานของโรงเรียน เพื่อปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542: 24-26) ไว้ดังนี้
1. จัดกระบวนการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามสภาพจริง (authentic learning) มีวิธีการเรียนรู้และมีทักษะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
2. จัดทำสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง และสอดคล้องกับความสนใจความถนัดความต้องการของผู้เรียน และชุมชน
3. จัดบรรยากาศสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
4. ให้บุคลากร องค์กร และสถาบันในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
5. มีการทำวิจัยในชั้นเรียน
6. ประเมินผลตามสภาพจริง (authentic assessment) โดยเน้นการประเมินควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอน และประเมินจากการปฏิบัติงานจริง (performance-based assessment)
7. ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเอง จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ
8. มีระบบนิเทศการเรียนการสอนภายใน
9. ประชาสัมพันธ์รูปแบบการเรียนการสอนของสถานศึกษา
ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดทิศทางและมาตรการในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2548: 1-3) เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในเรื่องการพัฒนาการศึกษาปฐมวัย การปฏิรูปหลักสูตรและการเรียนการสอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูปการอุดมศึกษา ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มีจุดมุ่งหมายในการปฏิรูปการศึกษา เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการศึกษาสูงขึ้น ยกระดับความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยให้สู่ระดับสากล การจัดกระบวนการเรียนการสอน และการประเมินต้องสอดคล้องกับสภาพจริง เพื่อพัฒนาผู้เรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2546: 4)
เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนและการประเมินตามสภาพจริงของครูพลศึกษาให้สอดคล้องกับแนวการจัดการศึกษาและการประเมินตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ผู้วิจัยในฐานะศึกษานิเทศน์พลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการเขต 1 ได้ทำการนิเทศติดตามการจัดการเรียนรู้และการประเมินของครูพลศึกษา พบว่าส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการประเมินตามสภาพจริง ผู้วิจัยจึงเห็นความจำเป็นในการพัฒนาครูพลศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการเขต 1 ให้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาได้ ถึงแม้จะมีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่สร้างเครื่องมือการประเมินวิชาพลศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ แต่ครูพลศึกษาก็ไม่อาจนำไปใช้ได้ทั้งหมดเพราะไม่สอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ และขาดความเข้าใจถึงความเป็นมาของเครื่องมือ ดังนั้นถ้าจะให้การประเมินวิชาพลศึกษาครอบคลุมเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.25445 ต้องใช้วิธีที่ทำให้ครูพลศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะ และเกิดเจตคติที่ดีต่อการประเมินตามสภาพจริง ทำให้สามารถประเมินได้สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร งานวิจัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อหารูปแบบในการพัฒนาครูพลศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ พฤติกรรมการปฏิบัติ และเจตคติที่ดีต่อการประเมินตามสภาพจริง ซึ่งพบว่า การให้ความรู้ด้วยนวัตกรรม (programmed instruction) สำหรับเป็นนวัตกรรมในการให้ความรู้แก่ครูพลศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา เนื่องจากบทเรียนแบบโปรแกรมเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นที่ละน้อย สร้างแรงจูงใจที่จะศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยการเห็นคุณค่าของสิ่งที่กระทำและเกิดพฤติกรรมตามสิ่งที่ศึกษาด้วยความพึงพอใจ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฏีของ Thorndike และ Skinner จากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ผู้วิจัยสนใจในการใช้บทเรียนแบบโปรแกรมและการนิเทศแบบมีส่วนร่วม มาเป็นรูปแบบในการพัฒนาครู ในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งรูปแบบดังกล่าวยังไม่เคยมีผู้ใดทำการวิจัยมาก่อน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนแบบโปรแกรม เรื่องการประเมินตามสภาพจริง วิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา
2. เพื่อศึกษาความสามารถของครูพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา ในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา
3. เพื่อศึกษาเจตคติของครูพลศึกษา ที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา คือครูพลศึกษา ที่สอนวิชาพลศึกษา ปีการศึกษา 2551 ในโรงเรียนมัธยมศึกษา (มัธยมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6) และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ในโรงเรียนรัฐบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ เขต 1
2. การวิจัยรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาในครั้งนี้ มุ่งพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (programmed instruction) และการนิเทศแบบมีส่วนร่วม (collaborative supervision)
3. การศึกษาความสามารถของครูพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาศึกษาจากสิ่งต่อไปนี้
3.1 ด้านความรู้ (knowledge) ของครูพลศึกษาในเรื่องการประเมินตามสภาพจริงหลักจากได้ศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมแล้ว
3.2 ด้านพฤติกรรมการปฏิบัติ (practice) ในการนำความรู้เรื่องการประเมินตามสภาพจริงไปปฏิบัติในการประเมินผู้เรียนวิชาพลศึกษาในระดับชั้นเรียน
3.3 ด้านเจตคติ (attitude) ของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา
4. ตัวแปรที่ศึกษา
4.1 ตัวแปรอิสระ คือ รูปแบบการพัฒนาครูพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม และการนิเทศแบบมีส่วนร่วม
4.2 ตัวแปรตาม คือ
4.2.1 ความสามารถของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาในด้านความรู้ พฤติกรรมการปฏิบัติ และเจตคติ
4.2.2 เจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม และ การนิเทศแบบมีส่วนร่วม
ในการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการตรวจสอบเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ออกเป็น 4 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
1.1 สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
1.2 การจัดกระบวนการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
1.3 การวัดและประเมินการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
1.4 แนวความคิดเกี่ยวกับการประเมินการเรียนรู้ทางพลศึกษา
1.5 ประโยชน์ของการวัดและประเมินทางพลศึกษา
ตอนที่ 2 การประเมินตามสภาพจริง
2.1 ความหมายและความเป็นมาของการประเมินตามสภาพจริง
2.2 ความสำคัญและหลักการของการประเมินตามสภาพจริง
2.3 คุณลักษณะของการประเมินตามสภาพจริง
2.4 วิธีการประเมินตามสภาพจริงทางพลศึกษา
2.5 หลักเกณฑ์และวิธีการให้คะแนนตามแนวทางของการประเมินตามสภาพจริง
ตอนที่ 3 หลักการ แนวคิด ทฤษฏี ที่ใช้ในการวิจัย
3.1 ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการประเมินตามสภาพจริง
3.2 แนวคิด ทฤษฏี ของการประเมินตามวัตถุประสงค์
3.3 แนวคิด ทฤษฏี ในการสร้างบทเรียนแบบโปรแกรม
3.4 แนวคิด ทฤษฏี ของการฝึกอบรม
3.5 แนวคิด ทฤษฏีของการนิเทศการสอน
3.6 แนวคิด ทฤษฏีในการสร้างแบบประเมิน
ตอนที่ 4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4.1 งานวิจัยในประเทศ
4.2 งานวิจัยต่างประเทศ
เครื่องที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5 ประเภท ดังนี้
1. บทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา
2. แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา
3. แบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลชศึกษาระดับมัธยมศึกษา
4. แบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริง
5. แบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา
ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ
1. บทเรียนแบบโปรแกรม เรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา
1.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนแบบโปรแกรม
1.2 กำหนดหน่วยการเรียนรู้ เกี่ยวกับการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 4 หน่วย
1.3 กำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละหน่วยการเรียนรู้
1.4 เขียนเนื้อหาของบทเรียน โดยเริ่มจากการให้ความรู้ กิจกรรมหรือ แบบฝึกหัด เฉลยคำตอบ 1.5 วิเคราะห์เนื้อหาสาระในบทเรียนแบบโปรแกรมกับพฤติกรรมที่ต้องการวัดเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ตามตารางการวิเคราะห์แบบอิงเกณฑ์
1.6 ผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของบทเรียนแบบโปรแกรม เรื่อง การประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา คือ 80/80 (ธีระชัย ปูรณโชติ, 2532: 36)
80 ตัวแรก หมายถึง ครูพลศึกษาทุกคนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างสามารถตอบคำถามจากกิจกรรมของบทเรียนแบบโปรแกรม ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80
80 ตัวหลัง หมายถึง ครูพลศึกษาทุกคนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างสามารถทำแบบทดสอบหลังจากศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมแล้ว ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80
1.7 นำบทเรียนแบบโปรแกรมที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบ เพื่อหาความเที่ยงตรงของเนื้อหา และความเป็นปรนัย ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
1.7.1 มีคุณวุฒิระดับปริญญาโท หรือเอก
1.7.2 มีความรู้และประสบการณ์สาขาการวัดและประเมินผล
1.7.3 มีความรู้และประสบการณ์สาขาวิชาพลศึกษา
1.7.4 มีความรู้และประสบการณ์ด้านการนิเทศการศึกษา
1.7.5 มีความรู้และประสบการณ์ในการเขียนเอกสาร ตำรา ประกอบการสอน
การหาค่าเที่ยงตรง และความเป็นปรนัย ของบทเรียนแบบโปรแกรม ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
1.8 วิเคราะห์ความเหมาะสมของบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน ได้ภาพรวมทั้งบทเรียนมีความเหมาะสมผู้ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.92
2. แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้
2.1 ศึกษาวิธีการ แนวคิด ทฤษฎี การสร้างแบบทดสอบ
2.2 กำหนดจำนวนข้อคำถามให้ครอบคลุมพฤติกรรมที่ต้องการวัด
2.3 สร้างแบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและพฤติกรรมที่ต้องการวัด
2.4 หาค่าความเที่ยงตรง และความเป็นปรนัย ของแบบทดสอบความรู้โดยการนำแบบทดสอบความรู้ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญวิคราะห์หาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหา ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
2.5 หาค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม
3. แบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้
3.1 ศึกษาประเภทและหลักการประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา
3.2 ศึกษาแนวคิด และวิธีการสร้างแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2540: 232-235)
3.3 สร้างแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริง วิชาพลศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า
3.4 วิเคราะห์ความเหมาะสมของแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหา และความเป็นปรนัย โดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ได้ภาพรวมของแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติ มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.02
3.5 หาค่าความเชื่อมั่น ของแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา โดยนำแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติที่ได้หาคุณภาพความเที่ยงตรงของเนื้อหาแล้ว ไปทดลองใช้กับครูพลศึกษาที่เคยผ่านการอบรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษามาแล้วและไม่ใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 40 คน หาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์อัลฟา (บุญเรียง ขจรศิลป์, 2548: 60-61) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.74
3.6 วิเคราะห์ค่าอำนจจำแนก (r) โดยการนำแบบปะเมินพฤติกรรมการปฏิบัติที่ได้หาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหาวิชาพลศึกษามาแล้ว จำนวน 40 คน ได้ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่า 0.26-0.88
4. แบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาผู้วิจัยมีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้
4.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี การสร้างแบบประเมินเจตคติ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2540: 239-261)
4.2 สร้างแบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scales)
4.3 วิเคราะห์ความเหมาะสมของแบบประเมินเจตคคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหา (content validity) โดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ได้ภาพความรวมของแบบประเมินเจตคติ ความเหมาะสม อยู่ในระดับมาก ทุกข้อ
4.4 วิเคราะห์ ค่าความเชื่อมั่น (reliability) โดยการนำแบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ที่ได้หาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหาแล้ว ไปทดสอบกับครูพลศึกษาที่เคยผ่านการอบรมเรื่องการประเมินตรมสภาพจริงวิชาพลศึกษามาแล้ว จำนวน 40 คน หาค่าความเชื่อมั่น (reliability) ด้วยสูตรสัมระสิทธิ์อัลฟา ของ Cronbach (บุญเรียง ขจรศิลป์, 2548: 60-61) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.76
4.5 วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (r) โดยการนำแบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตาม สภาพจริงวิชาพลศึกษา ที่ได้หาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหาแล้วไปทดสอบกับครูพลศึกษาที่เคยผ่านการอบรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษามาแล้ว จำนวน 40 คน ได้ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.20 – 0.54
5. แบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้
5.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี การสร้างแบบประเมินเจตคติ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2540: 239-261)
5.2 สร้างแบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า (rating scales)
5.3 วิเคราะห์ความเหมาะสมของแบบประเมินเจตคติของครูพบศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหา (content validity) โดยการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ได้ภาพรวมของแบบประเมินเจตคติ ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.2
5.4 วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น โดยการนำแบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ที่ได้หาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหาแล้ว ไปทดสอบกับครูพบศึกษา ที่เคยศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมหรือเคยศึกษาแนวทางการศึกษาชุดวิชาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชและผ่านการอบรมเรื่องการประเมินตรมสภาพจริงวิชาพลศึกษามาแล้ว จำนวน 40 คน หาค่าความเชื่อมั่น ด้วยสูตรสัมประสิทธิ์อัลฟา (บุญเรียง ขจรศิลป์, 2548: 60-61) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.72
5.5 วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (r) โดยการนำแบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ที่ได้หาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหาแล้ว ไปทดสอบกับกับครูพลศึกษาที่เคยศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม หรือเคย ศึกษาแนวการศึกษาชุดวิชาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชและผ่านการอบรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษามาแล้ว จำนวน 40 คน ได้ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.20-0.44
ผู้วิจัยได้กำหนดรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยการ ใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (programmed instruction) และการนิเทศแบบมีส่วมร่วม (collaborative supervision) และเพื่อให้เห็นภาพของนวัตกรรมและวิธีการที่ใช้ในการดำเนินงานวิจัย ซึ่งสรุปเป็นแผนภูมิได้ดังนี้
การศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม | การนิเทศการศึกษา |
การศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา (programmed instruction) วัตถุประสงค์ เพื่อให้ครูพลศึกษามีความรู้เรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา | การใช้พฤติกรรมการนิเทศแบบมีส่วนร่วม (collaborative supervision) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้คำแนะนำในการสร้างแบบประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 2. เพื่อติดตามผลการใช้แบบประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 3. เพื่อประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 4. เพื่อประเมินเจตคติของครูพลศึกษา ที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 5. เพื่อประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรมและการนิเทศแบบมีส่วนร่วม |
กิจกรรม ครูพลศึกษาทำการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา โดปฏิบัติตามขั้นตอนของการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม | กิจกรรม 1. ประชุมปรึกษาหารือ (conference) แลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2. ประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติของครูพลศึกษาเกี่ยวกับการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา โดยครูพลศึกษาประเมินตนเอง และเมินโดยหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ 3. ประเมินเจตคติของครูพลศึกษาเกี่ยวกับการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา และประเมินรูปแบบการพัฒนาครู |
เครื่องมือ 1. บทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา 2. แบบทดสอบความรู้ เรื่องการการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา | เครื่องมือ 1. แบบประเมินพฤตกรรมการปฏิบัติในการประเมินตมสภาพจริงวิชาพลศึกษา 2. แบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 3. แบบประเมินเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครู |
ผลที่ได้ ครูพลศึกษามีความรู้เรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา | ผลที่ได้ 1. เกิดพัฒนาการด้านความรู้ พฤติกรรมการปฏิบัติและเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา 2. เจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูอยู่ในระดับมาก |
4.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยดังนี้
1. ผู้วิจัยนำหนังสือราชการจากบัณฑิตวิทยาลัยถึงสำนักงานเขตพื้นที่สมุทรปราการ เขต1 ขอความอนุเคราะห์แจ้งโรงเรียนเพื่อให้ผู้วิจัยเข้าไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากครูพลศึกษา ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 5 โรงเรียน
2. ผู้วิจัยเข้าโรงเรียนด้วยตนเอง เพื่อแนะนำและชี้แจงวิธีการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาให้กับครูพลศึกษาทั้งหมดจำนวน 29 คน โดยผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดสอบของครูพลศึกษาก่อนศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม
3. ครูพลศึกษาจำนวน 29 คน ทำการศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม เรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และส่งผลการศึกษาจากการทำกิจกรรมท้ายเรื่องและผลการทดสอบหลังศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมให้ กับผู้วิจัยหลังจากศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมเสร็จสิ้นเป็นรายบุคคล
4. ผู้วิจัยทำการนิเทศแบบมีส่วนร่วม โรงเรียนละ 3 ครั้ง และทำการนิเทศครบทั้ง 5 โรงเรียน ใช้เวลา 1 ภาคการศึกษา (เดือนพฤศจิกายน 2551-เดือนมีนาคม 2552)
5. ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติ แบบประเมินเจตคตที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษา และแบบประเมินเจตคติที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูในการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา และนำมาวิเคราะห์ผลทางสถิติ
5. สรุปผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า 1)ประสิทธิภาพบทเรียนแบบโปรแกรมเรื่องการประเมินตามสภาพจริงวิชาพลศึกษาระดับมัธยมศึกษา เท่ากับ 80.06/80.57 2)ความสามารถของครูพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ด้านความรู้ในการประเมินตามสภาพจริง หลังศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 ด้านพฤติกรรมการปฏิบัติและเจตคติของครูพลศึกษาที่มีต่อการประเมินตามสภาพจริง อยู่ในระดับดีมาก และ 3) เจตคติของครูพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาครูโดยการใช้บทเรียนแบบโปรแกรมและการนิเทศแลลมีส่วนร่วมอยู่ในระดับดีมาก
สรุปได้ว่า การใช้บทเรียนแบบโปรแกรมและการนิเทศแบบมีส่วนร่วม PCo Model มีความเหมาะสมในการพัฒนาครูพลศึกษา ระดับมัธยม ในการประเมินตามสภาพจริง